วันอาทิตย์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

❀ประเทศมัลดีฟส์

ประเทศมัลดีฟส์

หมู่เกาะมัลดีฟส์ (Maldives) เป็นประเทศหมูเกาะที่ตั้งอยู่ในมหาสมุทรอินเดีย ห่างจากประเทศศรีลังกา ประมาณ 700 กิโลเมตร ทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ หมู่เกาะมัลดีฟส์เกิดขึ้นมาจากการทับถมของหินประการัง ซึ่งลักษณะทางภูมิศาสตร์จะเป็นเกาะเล็กๆ กระจัดกระจายประมาณ 1,192 เกาะ ซึ่งมีคนอยู่อาศัยอยู่ทั้งหมด 250 เกาะ โดยหมู่เกาะเล็กๆนั้นจับกลุ่มกันอยู่เป็นรูปวงแหวนประเทศมัลดีฟส์เป็นประเทศที่นับได้ว่ามีขนาดเล็กที่สุดในทวีปเอเชีย ทั้งในแง่ของจำนวนประชากรและขนาดพื้นที่ และยังถือเป็นประเทศที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลที่เตี้ยที่สุดในโลกอีกด้วยจุดที่สูงที่สุดแค่ประมาณ 2.3 เมตรจากน้ำทะเล


ภูมิประเทศ
มัลดีฟส์เป็นประเทศกลุ่มเกาะที่ประกอบด้วยเกาะขนาดเล็กมากมายวาง ตัวต่อเนื่องกันในแนวเหนือ-ใต้ มีลักษณะภูมิประเทศหลักจึงเป็นภูมิประเทศชายฝั่งและสัณฐานย่อยประกอบชายฝั่ง เช่น หาด อ่าว หัวแหลมซึ่งกลุ่มเกาะมัลดีฟส์จะมีชื่อเสียงมากในด้านภูมิทัศน์เพื่อการท่องเที่ยว
ภูมิอากาศ 
จากทำเลที่ตั้งของกลุ่มเกาะที่ตั้งอยู่กลางมหาสมุทรอินเดียและอยู่ในละติจูดต่ำใกล้เส้นศูนย์สูตรจึงทำให้มีอุณหภูมิความชื้นสูงและฝนตกชุกอุณหภูมิเฉลี่ย27-30Cตลอดทั้งปีช่วงที่ปราศจากมรสุม ได้แก่ ช่วงเดือนธันวาคม มีนาคม
                                                                                                                                                          ศาสนา
     อิสลาม นิกายซุนนี
ลักษณะทางเศรษฐกิจ
        ลักษณะเศรษฐกิจหลักของมัลดีฟส์ขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยวเป็นหลักเนื่องจากมีปัจจัยทางธรรมชาติที่เอื้อต่อการท่องเที่ยว ขณะที่เศรษฐกิจอย่างอื่นประกอบด้วยการเกษตรกรรมอุตสาหกรรมขั้นต้นและการค้าระหว่างประเทศสินค้าส่งออก ได้แก่ปลาและเสื้อผ้าประเทศที่ส่งออก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ศรีลังกา และญี่ปุ่นสินค้านำเข้า ได้แก่ สินค้าอุปโภคบริโภคและปิโตรเลียม ประเทศที่นำเข้า ได้แก่ สิงคโปร์ อินเดีย ศรีลังกา ญี่ปุ่นและแคนาดา
จุดแข็งของการท่องเที่ยวของมัลดีฟคืธรรมชาติที่ยังบริสุทธิอยู่มากมีชายหาดขาวน้ำทะเลสีฟ้าครามใสสะอาดที่พบเห็นทั่วไปทุกหมู่เกาะและยังมีแนวปะการังที่ยาวและสวยงามติดอันดับโลกเป็นที่สนใจแก่ผู้รักการว่ายน้ำ สายลม แสงแดด การดำน้ำ การพักผ่อนทั้งครอบครัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฮันนีมูล         
นักท่องเที่ยวของมัลดีฟเป็นนักท่องเที่ยวระดับบนเป็นส่วนมากโดยส่วนใหญ่มาจากยุโรปแลเอเชียสัญชาตินักท่องเที่ยวจากยุโรปที่สำคัญคืออิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และอังกฤษ ขณะที่นักท่องเที่ยวจากเอเชียส่วนใหญ่จะเป็นญี่ปุ่น ฮ่องกงและจีน ปัจจุบันมัลดีฟเป็นแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของโลกมีโรงแรมดังๆจากทั่วโลกมาเปิดให้บริการแล้วไม่ว่าจะเป็นHilton,Four Seasons, Club Med, One & Only อีกทั้งสถาบันการเงินชั้นนำของโลก ก็ได้ไปเปิดให้บริการแล้วเช่นกัน เช่น ธนาคาร Hong-Kong  and Shanghai เป็นต้น

การค้าระหว่างประเทศ
vสินค้าส่งออกสำคัญมีชนิดเดียวคือปลา โดยเฉพาะปลาทูนาตลาดส่งออกสำคัญ ได้แก่ ประเทศไทย 50%ศรีลังกา 15%อังกฤษ 11.5% ฝรั่งเศส 8.4% อัลจีเรีย 7.8% และญี่ปุ่น6.1%
vสินค้านำเข้าสำคัญได้แก่ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เรือขนาดใหญ่ ผลิตภัณฑ์อาหาร เสื้อผ้าสินค้าอุปโภคบริโภค สินค้ากึ่งสำเร็จรูปและสินค้าทุนแหล่งนำเข้าสำคัญได้แก่สิงคโปร์22.7%,UAE15.5%,อินเดีย11.2%,มาเลเซีย 10.8%, ศรีลังกา 5.7%, และประเทศไทย5.3%
สินค้าที่ห้ามนำเข้า
v วัตถุที่สื่อต่อการต่อต้านศาสนาอิสลาม
v วัตถุบูชา
v หนังสือ สิ่งพิมพ์ลามก
v ยาที่ออกฤทธิ์ทำให้ง่วง
v หมู

ความสัมพันธ์ไทย-มัลดีฟ
การท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวไทยเดินทางไปมัลดีฟส์ในปี 2550 จำนวนประมาณ 2,494 คน นักท่องเที่ยวมัลดีฟส์เดินทางมาไทยในปี2550จำนวน7,485คน ปัจจุบันสายการบินบางกอกแอร์เวย์ได้เปิดเที่ยวบินตรงระหว่างกรุงเทพและกรุงมาเล
การประมงประเทศมัลดีฟส์เป็นแหล่งปลาทูน่าที่สำคัญในมหาสมุทรอินเดีย ประเทศไทยยังไม่มีการติดต่อเพื่อทำประมงร่วมกับมัลดีฟส์ ทั้งระหว่างภาครัฐบาลและเอกชน ฝ่ายไทยเคยส่งเรือวิจัยประมงของกรมประมงเดินทางไปทำการศึกษาและวิจัยด้านปลาทูน่าในมัลดีฟส์ในบางโอกาส 
นอกจากนี้ รัฐบาลมัลดีสฟ์ได้กำหนดเงื่อนไขที่จะเข้าไปจับปลาในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของมัล ดีฟส์ เช่น ต้องเสียค่าใบอนุญาต (license fee) ต้องจับปลาห่างฝั่งอย่างน้อย 78 ไมล์ และให้ผู้ได้รับอนุญาตจับปลาได้ไม่เกินปีละ 1.5 หมื่นตัน รวมทั้งทางการมัลดีฟส์ยังกำหนดให้ใช้วิธีการจับปลาแบบดั้งเดิมอีกด้วย
การเดินทางจากประเทศไทยสู่สาธารณรัฐมัลดีฟส์
บางกอกแอร์เวย์ส (บินตรงสู่มัลดีฟส์) ทางเข้า 3 เคาน์เตอร์ Fสิงคโปร์แอร์ไลน์ ทางเข้า 5 เคาน์เตอร์ K 8-20 ศรีลังกันแอร์ไลน์ ทางเข้า 9 เคาน์เตอร์ T 11-18 ใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น สู่สนามบินนานาชาติมาเล่ ประเทศมัลดีฟจากนั้นจึงต่อเรือสปีดโบ๊ตต่อไปยังโรงแรมต่างๆ
สนามบินนานาชาติของมัลดีฟส์จะตั้งอยู่บนเกาะในมาเล่อะตอล(Male’)ซื่งอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของมัลดีฟนั่นก็คือ มาเล่ การเดินทางจากสนามบินไปยังเกาะต่างๆก็สามารถเลือกได้โดยการใช้เรือด่วน (Speed boat) หรือ เครื่องบินน้ำ (Sea Plane) โดย ดูจากแผนที่น่าจะพอได้ไอเดียว่า รีสอร์ทบนหมู่เกาะมัลดีฟส์นี่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปหมด ดังนั้นก็จะต้องวางแผนการเดินทางให้ดี เพราะเวลาการเดินทางอาจจะเริ่มจาก 20 นาทีถึงเกาะ

ภาพการเดินทางสู่เมืองมาเล่ มัลดีฟส์

1. เดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อ Check-in อย่างน้อย2 ชม.
ก่อนเวลาเครื่องออก บางกอกแอร์เวย์ส ทางเข้า 3 เคาน์เตอร์F/สิงคโปร์แอร์ไลน์ ทางเข้า 5 เคาน์เตอร์ K 8-20 / ศรีลังกันแอร์ไลน์ ทางเข้า 9 เคาน์เตอร์ T 11-18


2. เช็คกระเป๋าและสัมภาระ, Boarding pass เฉพาะสายการบินสิงคโปร์แอร์


ไลน์และศรีลังกันแอร์ไลน์ไม่ได้บินตรง ** ต้องแจ้งปลายทางว่าไปลงเครื่องที่มัลดีฟส์

3.เอกสารการเดินทางต่างๆก่อนเข้าตรวจก็มีหนังสือเดินทาง,BoardingPass,บัตรกระเป๋าที่ฝากลงท้องเครื่อง
4.ทางเข้าผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ


5.เข้าช่องตรวจหนังสือเดินทาง
6.ไปทางออกขึ้นเครื่องตามGateและเวลาที่Boarding Pass ระบุไว้
   บนเครื่องจะมีอาหาร 1 มื้อ และแจกใบเข้าเมืองมัลดีฟส์ควรกรอกรายละเอียดให้เรียบร้อยก่อนเครื่องลง
อาคารสนามบินมาเล่ ขนาดเล็กกะทัดรัด
บริเวณที่จอดเครื่องบิน
ตรวจหนังสือเดินทาง,รับกระเป๋าที่สายพาน,ผ่านด่านศุลกากร,และออกจากอาคาร จุดนัดหมายในการรอรับนำสัมภาระไปยังท่าเรือ
เรือท้องถิ่นDhoniข้ามฟากสำหรับท่านที่พักใน Male' เป็นคืนแรกเรือ Speed boat รับ-ส่ง ตรงสู่บางโรงแรม ให้บริการทั้งกลางวัน และกลางคืน (ใช้ระบบดาวเทียมนำทาง)

 การเดินทางภายในมัลดีฟล์
เนื่อง ด้วยภูมิประเทศที่ประกอบด้วยเกาะปะการังนับพัน วิธีเดินทางจากสนามบินนานาชาติมาสู่เกาะต่างๆรวมถึงการเดินทางระหว่างเกาะใน มัลดีฟส์ คือการเดินทางด้วยเรือ ทั้งเรือเร็วหรือสปีดโบ๊ตซึ่งเป็นที่นิยมในการใช้รับส่งแขกจากรีสอร์ทต่างๆ และการเดินทางด้วยเรือพื้นเมืองที่เรียกว่า โดนิ(Dhoni) ซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่นัก และยังเป็นการช่วยอนุรักษ์แนวปะการังใกล้เกาะไม่ให้เสียหายจากเครื่องยนต์ของเรือโดยสารขนาดมหึมา
บางแห่งมีการดัดแปลงเรือประมงหรือMasdhoni ซึ่งมีขนาดใหญ่และแล่นได้เร็วกว่าโดนิทั่วไป มาใช้รับส่งผู้โดยสารหรือให้เช่าเหมาลำไปตามแหล่งดำน้ำต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีบริการเรือเฟอร์รี่ขนาด 280 ที่นั่งแล่นระหว่างเมืองมาเล่กับอะทอลอัดดู ออกทุกสัปดาห์ และเรือซาฟารี ที่ให้บริการนำเที่ยวพร้อมที่พักอาหารครื่องอำนวยความสะดวก อาทิเครื่องออกกำลังกายครื่องปรับอากาศ โทรศัพท์เคลื่อนที่และอุปกรณ์ความบันเทิง ตลอดระยะเวลาการเดินทาง และเรือเฟอร์รี่บริการจากสนามบินนานาชาติถึงเมืองมาเล่ ค่าบริการคนละ 1 ดอลลาร์สหรัฐ(กลางวัน) และ 2 ดอลลาร์สหรัฐ(กลางคืน)
การเดินทางโดยเครื่องบินเล็หรือSea-plane นับ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการเดินทางภายในมัลดีฟส์ มีเที่ยวบินระหว่างเมืองมาเล่สู่เกาะอื่นๆ อาทิ เกาะเคาเดดูห์ และ เกาะจานในอะทอลอัดดู หรือเกาะฮานิมาดูห์ในทางตอนเหนือของประเทศ สำหรับการเดินทางทางบก ในมัลดีฟส์มีถนนสำหรับรถวิ่งอยู่เฉพาะในเมืองมาเล่และอะทอลอัดดูเท่านั้น และเนื่องจากแต่ละเกาะมีพื้นที่ขนาดกะทัดรัด ผู้คนจึงนิยมเดินและปั่นจักรยานมากกว่าใช้รถยนต์ 
การเดินทางด้วยเรือ
ใช้ ในการเดินทางของรีสอร์ทที่อยู่ในกลุ่มมาเล่อะตอล (Male’Atoll)ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเกาะสนามบิน Hulhule’มากนัก เรือเร็วนั้นนอกจากจะสะดวกรวดเร็วแล้วยังปลอดภัยด้วยอุปกรณ์ดาวเทียมนำทาง GPSที่ติดตั้งไว้ทุกลำทำให้สามารถเดินทางรับ -ส่งได้ทั้งกลางวันและกลางคืน เรือโดยสารระหว่างเกาะสนามบินและเมืองมาเล่เป็นเรือเฟอร์รี่เรียกว่า Dhoni ออกเดินทางทุก 15 นาที ค่าบริการเที่ยวละ 10 Rufiyaa หรือ 1 เหรียญสหรัฐ/คน
การเดินทางโดยเครื่องบิน
ถ้าเป็นเกาะที่อยู่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มมาเล่อะตอล ต้องพึ่งพาเครื่องบินในการเดินทางข้ามเกาะ เครื่องบินที่เป็นที่นิยมที่สุดคือ Seaplane หรือเครื่องบินสะเทินน้ำ สามารถชมทัศนียภาพที่งดงามระหว่างเดินทาง มี 2บริษัทให้บริการคือMaldivianAirTaxi (www.maldivianairtaxi.com) และ Trans Maldivian Airways
(
www.tma.com.mv) ซึ่งแต่ละสายการบินจะต้องทำสัมปทานกับรีสอร์ทต่างๆ ทั่วมัลดีฟส์ แล้วแต่ว่ารีสอร์ทไหนจะได้ใช้บริการของสายการบินใด ทางรีสอร์ทมักจะรวมค่าเดินทางโดย Seaplane ไว้ในแพ็คเกจที่พัก เป็นความสะดวกอย่างหนึ่งในการเดินทางสู่รีสอร์ท
รถแท็กซี่
ภายในเมืองมาเล่นั้น ชาวพื้นเมืองนิยมใช้รถจักรยานยนต์ในการสัญจรไปมาสำหรับนักท่องเที่ยวสามารถใช้บริการรถแท็กซี่ในการเดินทางภายในเมืองมาเล่
ถนนส่วนใหญ่จะเป็นทรายพื้นราบ หรือที่มาเล่ ถนนสวนใหญ่จะเป็นถนนพื้นปูน ซึ่งรองเท้าธรรมดาหรือรองเท้าแตะก็สามารถใส่ได้
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : สถานกงสุลกิตติมศักดิ์สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ประจำประเทศไทย
เลขที่ 355 ถนนสุขสวัสดิ์ ซอย 36 แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะกรุงเทพฯ10140
โทร: (02) 428-9292 เวลาทำการ : จันทร์ - ศุกร์ เวลา 09.00 - 14.00 น.

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเดินทางคือ ระหว่างเดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายนวีซ่านักท่องเที่ยวสามารถขอ Visa on Arrival ได้เมื่อไปถึงมัลดีฟส์ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ วีซ่ามีอายุ 30 วัน 
         การพักอยู่ในเขตท่องเที่ยวของมัลดีฟส์ในระยะเวลาไม่เกิน 30 วัน ไม่จำเป็นต้องใช้วีซ่าหรือใบอนุญาติอื่นๆ นอกจากพาสปอร์ตที่ยังไม่หมดอายุและเงินติดตัวอย่างน้อยวันละ25ดอลลาร์สหรัฐ
      สำหรับท่านที่ต้องการอยู่ในมัลดีฟส์นานกว่าหนึ่งเดือนอาจทำเรื่องขอยืดอายุวีซ่าได้เป็นเวลา3 เดือนนับจากวันที่เดินทางมาถึงมัลดีฟส์ ขั้นตอนติดต่อกับสำหนักงานตรวจคนเข้าเมืองเพื่อขอยืดอายุวีซ่าจะสะดวกกว่ามากถ้าดำเนินการผ่านรีสอร์ตหรือตัวแทนท่องเที่ยว เพราะผู้รับรองที่พักเป็นหลักฐานสำคัญในการยืดอายุวีซ่า ซึ่งต้องใช้ร่วมกับตั๋วเครื่องบินขากลับและหลักฐานทางการเงิน พร้อมค่าธรรมเนียม 300 รูเฟียการติดต่อด้วยตัวเองอาจมีขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติมากขึ้นภายในช่วงเวลาทำการ คือ ตั้งแต่ 7.30 - 9.30 น.


สถานที่ท่องเที่ยว
สำหรับ นักเดินทางที่รักการเที่ยวทะเลและการดำน้ำแล้ว หมู่เกาะมัลดีฟส์คงเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวในดวงใจ และก็เป็นความฝันของใครหลายๆคนทั้งคู่รักฮันนีมูน และผู้รักการพักผ่อนกับแบบชิลล์ๆกับธรรมชาติและท้องทะเล มัลดีฟส์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อว่าแพง ติดอันดับต้นๆของบรรดาแหล่งท่องเที่ยวทั่วโลก คนส่วนใหญ่จึงคิดว่าเป็นอะไรที่ไกลเกินเอื้อม
มาเล่
ตั้งอยู่ในอะทอลคาฟู (Kaafuu Atoll) หรือบ้างเรียกว่าอะทอลมาเล่ เป็นเกาะขนาด 2 ตาราง กิโลเมตร ที่ตั้งของเมืองมาเล่ เมืองหลวงของสาธารณรัฐมัลดีฟส์ มาเล่เป็นทั้งศูนย์กลางการเมืองการปกครอง ธุรกิจการค้า และศาสนาวัฒนธรรมของประเทศ ทว่าผู้คนในมาเล่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นมุสลิมยังคงใช้ชีวิต อย่างเรียบง่ายและยึดมั่นในศาสนา บรรยากาศในเมืองจึงค่อนข้างแตกต่างจากเกาะอื่นๆ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งรีสอร์ทหรือสถานบันเทิต่างๆ
Islamic Centre                 
      ศูนย์ กลางศาสนาอิสลามหรือมัสยิดกลางเป็นเหมือนศูนย์รวมทางจิตใจของชาวมาเล่ และถือเป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่สุดของเกาะ พื้นที่ภายในมัสยิดสามารถจุคนได้ถึง 5,000 คน ส่วนมินาเร็ทหรือหอสูงสำหรับแจ้งเวลาสวดมนต์ ด้านข้างนั้นสูงโดดเด่น สามารถมองเห็นได้ตั้งแต่เรือ ยังเดินทางมาไม่ถึงชายฝั่งของเกาะ ภายในตกแต่งด้วยไม้แกะสลัก และ ลวดลายตัวอักษรอาราบิกที่สวยงาม
เปิดให้เข้าชมเวลา 09:00 - 17:00 น. ผู้เข้าชมต้องแต่งกายสุภาพ ชายสวมกางเกงขายาว หญิงสวมชุด กรอมเท้าบ่าและแขนมีผ้าปิดมิดชิด

Hukuru Miskiiy (Old Friday Mosque)            เป็นมัสยิดเก่าแก่ที่สุดในประเทศ สร้างขึ้นราวปี 1656 ลักษณะ ภายนอกของมัสยิดอาจดูไม่โดดเด่น แต่ผนังด้านในสร้างขึ้นจากซากปะการังและแกะสลักลวดลายแบบอิสลาม อย่างสวยงาม ผนัง กรอบประตู และกรอบหน้าต่างของมัสยิดสร้างขึ้นจากไม้ชนิดต่างๆ อาทิ ไม้สัก ไม้จันทร์ และ เร้ดวูด นอกจากนี้ภายในยังประดับตกแต่งด้วยเครื่องไม้ลงแล็กเกอร์ ฝีมือช่างชาวมัลดีเวียน มัสยิดแห่งนี้เป็น ที่ฝังศพของสุลต่าน ขุนนางชั้นสูง และบุคคลสำคัญของมัลดีฟส์
การเข้าชมภายในอาจต้องขออนุญาตจากกระทรวงกิจการอิสลาม สอบถามข้อมูลโทร (096) 332-2266
Medhu Ziyaaraiy                    
      ชาวมัลดีฟส์มีตำนานเล่าขานว่า ในสมัยโบราณ ชาวมัลดีฟส์จะต้องนำสาวพรหมจรรย์ไปบูชายัญต่อเทพเจ้า Rannamaari แห่งท้องทะเลทุกเดือน เพื่อให้เทพเจ้าพอใจจนต่อมามีชาวอาหรับชื่อ Abu-al-Barakath เดินทางเข้ามาและช่วยไล่เทพเจ้าที่ดุร้ายไปได้ด้วยการอ่านพระคัมภีร์อัลกุรอานให้ฟัง ชาวมัลดีฟส์ จึงยึดมั่นในศาสนาอิสลามนับแต่นั้นมา
Medhu Ziyaarai
     สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่ Al-Sheikh-Abu-al-Barakath Yusuf al Barbaree นักปราชญ์ ชาวโมร็อกโคผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลามในมัลดีฟส์ เป็นสถานที่หนึ่งที่ไม่ควรพลาด

กิจกรรมที่เกาะมัลดีฟล์

      ดำน้ำดูปะการังและโลกสวยใต้ทะเล

นั่งเรือไปชมฝูงปลาโลมา 



   พายเรือแคนนู
เล่นเรือใบ

กระดานโต้คลื่น


กินข้าวใต้ทะเล กลางฝูงปลา..ปะการัง..ที่มัลดีฟส์ 
Ithaa Undersea Restaurant ปิดบริการที่ Conrad Maldives Rangali Islandในมัลดีฟส์ ภัตตาคารแห่งนี้อยู่ลึกลงไปใต้มหาสมุทรอินเดียประมาณ5 เมตรซึ่งล้อมรอบด้วยแนวหินปะการังที่มีชีวิตชีวา ตัวภัตตาคารห่อหุ้มด้วยอคริลิคใสที่จะทำให้ผู้มารับประทานอาหารได้ชมวิวใต้ทะเลได้โดยรอบ270 องศา




ห้องพักใต้ทะเลสุดหรู

พักผ่อนภายในที่พักโรงแรม รีสอร์ทและกิจกรรมชายหาดอื่นๆ

 บรรยากาศยามเย็น

ที่พักกลางทะเล กับ บรรยากาศดีดี

ทะเลสวย น้ำใส ทรายขาว


ที่พักสุดหรู บรรยากาศสุดโรแมนติก สวรรค์ของคนรักทะเล

รู้จักมัลดีฟล์กันแล้วนะค่ะ 
 หากมีโอกาสอย่าลืมเก็บภาพบรรยาการดีดี
 ความทรงจำที่สวยงามมาฝากเรานะค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลดีดีจาก

อ้างอิง

http://www.maldivepackage.com/gallery/travel/travelgallery.html






❀ การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟ

     การขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟ หมายถึง การเคลื่อนย้ายบุคคลด้วยตู้รถไฟต่อกันเป็นขบวนวิ่งไปบนรางเฉพาะตามเส้นทาง ซึ่งการขนส่งผู้็โดยสารทางรถไฟเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศอังกฤษ โดยเปิดให้บริการแก่ผู้โดยสารระหว่างเมืองแมนเชสเตอร์ กับ เมืองลิเวอร์พูล แต่รถไฟที่มีขบวนหรูหราที่สุดมีชื่อว่า โอเรียนท์เอกซ์เพรส (Orient-express) ซึ่งตกแต่งอย่างหรูหรา มีราคาแพงระดับเศรษฐี และมีการบริการชั้นเลิศ
     
  • สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีระบบการรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • เรียกว่า แอมแทรค (Amtrack)
  • มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการตลาดและการจัดการรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในโลก
  • มีการร่วมมือกับบริษัทนำเที่ยวเพื่อจัดนำเที่ยวโดยใช้รถไฟ
  • ประเทศฝรั่งเศสมีรถไฟความเร็วสูง TGV (Train a Grand Vitas) วิ่งได้ถึง 300 กิโลเมตร/ชั่งโมง 
  • ประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า รถไฟชิงกันเชน (Shinkansen) วิ่งได้ 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง 
  • รถไฟประเภทนี้นิยมเรียกกันว่า รถไฟหัวกระสุน (Bullet Trains)

  • Eurailpass คือ ระบบการจำหน่ายตั๋วรถไฟเพื่อการท่องเที่ยวราคาถูก
  • ซึ่งตั๋ว Eurailpass นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางโดยรถไฟชั้นหนึ่งอย่างไม่จำกัดเที่ยว
  • เดินทางได้ 16 ประเทศในยุโรป ออสเตรีีย เบลเยียม เดนมาร์ก ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ลักซัมเบริ์ก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สเปน สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์ ฟินแลนด์ กรีก โปรตุเกส และ ไอร์แลนด์
การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟในประเทศไทย  
  • รัชกาลที่ 4 ได้คิดสถาปนากิจการรถไฟในราชอาณาจักรไทย 
  • รัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าให้สร้างทางรถไฟสาย กรุงเทพ-นครราชสีมา ขึ้นเป็นสายแรก
  • วันที่ 26 มีนาคมของทุกปี เป็นวันสถาปนากิจการรถไฟ
  • เส้นทางเดินรถไฟมีความยาวทั้้้้้้้้้้้้้้้้้่่งสิ้น 2,996 กิโลเมตร
  • มีสถานีรถไฟทั่วประเทศ 433 แห่ง มีที่หยุดรถ 163 แห่ง มีป้ายหยุดรถ 53 แห่ง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
องค์ประกอบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟ  
     
มีองค์ประกอบ 4 อย่าง 
1.ผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
  • ผู้ประกอบการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟรัฐบาล
  • ผู้ประกอบการขน่สงผู้โดยสารด้วยรถไฟเอกชน
2.ขบวนรถไฟ ปัจจุบันหัวรถลากจูงมี 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
  • หัวรถจักรไอน้ำ
  • หัวจักรไฟฟ้า
  • หัวรถจักรดีเซล
3.เส้นทางรถไฟ แบ่งออกเป็น 2 ระบบคือ
  • เส้นทางรถไฟระบบทางเดียว (Singer Line)
  • เส้นทางรถไฟระบบทางคู่ (Double Line)
4.สถานีรถ  
  • สถานีรถไฟต้นทางปลายทาง
  • สถานีรถไฟชุมทาง
  • สถานีรถไฟรายทาง
ข้อได้เปรียบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟ
  • เป็นบริการที่เหมาะสมสำหรับการขนส่งระยะปานกลางและไกลๆ
  • สามารถให้บริการได้คราวละมากๆ
  • สามารถปรับตัวตามปริมาณขนส่งได้ง่าย
  • มีความปลอดภัยสูงกว่าการขนส่งประเภทอื่นๆ
  • มีความสบายในระหว่างการขนส่ง
ข้อเสียเปรียบของการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟ 
  • เป็นกิจการขนส่งที่ลงทุนมาก
  • มีความคล่องตัวในการบริการทำได้น้อย
  • การบริการขนส่งระยะใกล้ต้องเสียต้นทุนสูง
  • ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางในการให้บริการได้
  • หากมีการเลิกกิจการจะเสียหายมาก
การแบ่งประเภทรถไฟตามความเร็ว 
แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ
รถไฟกลุ่มที่ 1 
  • วิ่งด้วยความเร็วสูงประมาณ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • เป็นรถไฟรถจักรดีเซลและรถดีเซลราง
  • รถไฟที่ประเทศไทยใช้ชื่อว่ารถ Diesel Multiple Units (DMUs) ซึ่งรุ่นที่เรารู้จักคือรุ่น Sprinter
รถไฟกลุ่มที่ 2
  • วิ่งด้วยความเร็วสูงประมาณ 140-180 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • ขับเคลื่อนด้วยดีเซล
  • เช่น APT ของการรถไฟประเทศอังกฤษ ELT ของสเปน เป็นต้น
  • ประเทศฝรั่งเศสนำรถไฟ 2 ชั้น มาใช้เป็นประเทศแรก Double Decker Car 
  • ประเทศจีนนำรถไฟ 2 ชั้นในขบวนด่วน สายเซี่ยงไฮ้-นานกิง 
รถไฟกลุ่มที่ 3
  • รถไฟด่วนพิเศษ (Bullet Train)
  • วิ่งด้วยความเร็วสูงกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
  • ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า
  • เช่น ชิงคังเชน ของญี่ปุ่น และ TGV ฝรั่งเศส
  • รถไฟ หัวกระสุนชิงคังเชน ซึ่งเปิดให้บริการครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.2507 กล่าวกันว่าเป็นรถไฟที่มีความปลอดภัยที่สุดในโลก ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ที่สุดและวิ่งด้วยความเร็ว 300 กม.ต่อชั่วโมง
  • รถไฟ Eurostar ใช้ไฟฟ้า 12,200 กิโลวัตต์ในการพาผู้โดยสารจำนวน 766 คน เดินทางด้วยความเร็ว 300 กม.ต่อชั่วโมง

การบริการขนส่งผู้โดยสารด้วยรถไฟฟ้า

  • เปิด ให้บริการแก่คนกรุงเทพมหานคร มาตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2542 เพื่อเฉลิมฉลองวโรกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 
  • และในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2543 สมเด็จพระเทพรัตนสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เป็นประธานพิธีเปิดรถไฟฟ้าบีทีเอสอย่างเป็นทางการ
 
ค่าโดยสารของรถไฟฟ้าบีทีเอสมี 4 ประเภท
  • บัตรประเภทเที่ยวเดียว (Single Journey Ticket)
  • บัตรประเภทเติมเงิน (SkyCard / Stored Value Ticket)
  • บัตรโดยสาร 30 วัน                                      
  • บัตรประเภท 1 วัน (One Day Pass)
ข้อห้ามในการใช้รถไฟฟ้าบีทีเอส

  • ห้ามรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มในสถานีรถไฟฟ้าและในรถไฟฟ้า
  • ห้ามเล่นหรือทดลองใช้อุปกรณ์ใด ๆ ที่ติดตั้งในสถานีรถไฟฟ้า
  • ห้ามยืนพิงประตู
  • ห้ามลงไปในบริเวณรางรถไฟฟ้า
รถไฟฟ้าใต้ดิน
  • สามารถ บรรจุผู้โดยสารได้ประมาณ 900 คน ในแต่ละขบวนนั้นมี 3 ตู้โดยสาร มีที่นั้งตู้ละ 42 ที่นั่ง และมีห้องพนักงานควบคุมรถอยู่ที่ปลายหัวและท้ายขบวน
  • ภายในขบวนมีอุปกรณ์ปลดล๊อกประตูรถไฟฉุกเฉิน สำหรับให้ผู้โดยสารปลดล๊อกด้วยมือก่อนเปิดประตูรถไฟ
  • ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน มีอุปกรณ์ดับเพลิง 2 ชุด ในแต่ละตู้ขบวน และ 1 ชุดในแต่ละห้องพนักงานควบคุม
  • เป็นระบบอุโมงค์คู่รางเดี่ยว คืออุโมงค์ 2 อุโมงค์ขนานกัน และแต่ละอุโมงค์จะเดินรถทางเดียว
  • โครงสร้างอุโมงค์เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กที่ถูกออกแบบให้มีลักษณะยืดหยุ่น มีระบบป้องกันน้ำซึมเข้าในอุโมงค์
  • ภายในอุโมงค์มีการติดตั้งรางวิ่งรถไฟ รางจ่ายกระแสไฟฟ้า ทางเดินซ่อมบำรุง อุปกรณ์ระบายอากาศ ระบบดูดอากาศใต้ชานชาลา และระบบตรวจจับ
  • ศูนย์ควบคุมการปฏิบัติงานการเดินรถให้ได้ระดับประสิทธิภาพ การทำงานตามแผนที่ได้วางไว้
  • ผู้ โดยสารสามารถแสดงบัตรโดยสารต่อเครื่องอ่านบัตรโดยสารอัตโนมัติ เรียกบัตรโดยสารนี้ว่า บัตรโดยสารอัจฉริยะไร้สัมผัส ซึ่งมีใช้ในระบบอยู่ 2 ชนิด คือ
1.เหรียญโดยสาร (Single Journey Token)
2.บัตรโดยสารแบบเติมเงิน (Stored Value Card)



     ดังนั้น การขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟเป็นการเคลื่อนย้ายบุคคลด้วยรถไฟที่ต่อกันเป็นขบวน วิ่งไปบนรางเฉพาะตามเส้นทาง ซึ่งมีวิวัฒนาการมาจากการขับเคลื่อนด้วยรถจักรไอน้ำ จนกระทั่งใช้เครื่องขับเคลื่อนด้วยไอพ่น จึงทำให้การขนส่งผู้โดยสารทางรถไฟเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว





อ้างอิงที่มา : 
http://www.mrta.co.th/main/type-ticket.htm
http://www.railway.co.th/about/history.asp
http://allknowledges.tripod.com/railway.html

วันจันทร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554

❀โลจิสติกส์

                                         โลจิสติกส์




ไฟล์:Allentown Project 042.jpg

           โลจิสติกส์ หรือ ลอจิสติกส์ (อังกฤษ: logistics) เป็นระบบการจัดการการส่งสินค้า ข้อมูล และทรัพยากรอย่างอื่นจากจุดต้นทางไปยังจุดบริโภคตามความต้องการของลูกค้า โลจิสติกส์เกี่ยวข้องกับการผสมผสานของ ข้อมูล การขนส่ง การบริหารวัสดุคงคลัง การจัดการวัตถุดิบ การบรรจุหีบห่อ โลจิสติกส์เป็นช่องทางหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานที่เพิ่มมูลค่าของการใช้ ประโยชน์ของเวลาและสถานที่
คำ ว่า โลจิสติกส์ (logistics) มาจากภาษาฝรั่งเศสคำว่า logistique ที่มีรากศัพท์คำว่า โลเชร์ (loger) ที่หมายถึงการเก็บ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการขนส่งสินค้าทางการทหาร ในการส่งกำลังบำรุง ทั้งเสบียง อาวุธ กำลังพล เพื่อสนับสนุนการรบ หรือ กิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ จากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง อาจมีการจัดเก็บระยะเวลานานหรือระยะเวลาชั่วคราว เช่น เอกสาร สินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบ และอื่น ๆ


ที่มาของคำว่า  โลจิสติกส์ (logistics) มาจากภาษาฝรั่งเศสคำว่า logistique ที่มีรากศัพท์คำว่า โลเชร์ (loger) ที่หมายถึงการเก็บ โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากการขนส่งสินค้าทางการทหาร ใน การส่งกำลังบำรุง ทั้งเสบียง อาวุธ กำลังพล เพื่อสนับสนุนการรบ หรือ กิจกรรมที่มีการเคลื่อนย้าย จัดเก็บ จากอีกที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง อาจมีการจัดเก็บระยะเวลานานหรือระยะเวลาชั่วคราว เช่น เอกสาร สินค้าสำเร็จรูป วัตถุดิบ และอื่น ๆ

โลจิสติกส์ มีศาสตร์แขนงต่างๆที่เกี่ยวข้องอยู่ 3 ศาสตร์ โดยจะมีมุมมองที่ต่างๆกัน ดังนี้

1.วิศวกรรม ศาสตร์ ซึ่ง ในส่วนวิศวกรรมศาสร์นี้จะมีสาขาที่เกี่ยวข้อง คือ สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ(Industrial Engineering) และ สาขาวิศวกรรมโยธา(Civil Engineering)โดย สาขานี้จะคำนึงถึงกิจกรรมในการเคลื่อนย้ายสินค้าเป็นหลัก เพื่อให้การขนส่งสินค้านั้น มีประสิทธิภาพสูงสุด ใช้ทรัพยากรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเชื้อเพลิง หรือ เวลาในการขนส่งให้น้อยที่สุด


2.บริหาร ธุรกิจ ซึ่ง สาขานี้จะมองในเรื่อง ของการขนส่งระหว่างประเทศโดยจะพิจารณา ภาษี กฎหมาย ค่าระวาง นโยบายหรือยุทธศาสตร์ทางด้านโลจิสติกส์ของแต่ละประเทศ และ การค้าระหว่างประเทศเพื่อนำมาประกอบ การวางแผนการขนส่งสินค้าไปยังประเทศต่างๆ


3.การ จัดการสารสนเทศ ซึ่ง จะศึกษาในส่วนของ software และ hardware นำมาควบรวมกันเป็น solution หรือ บริการ ที่จะช่วยให้การดำเนินกิจกรรมทาง โลจิสติกส์มีความคล่องตัวมากขึ้น

❀ มาร์โค โปโล(Marco Polo)







          มาร์โค โปโล เำกิดเมื่อปี 1254 ที่เมืองเวนิส บิดาชื่อ นิโคโล โปโล ตอนที่มาร์โค โปโลเกิด พ่อและอา มัฟเฟโอ โปโล ได้ออกเดินทางไปค้าขายในแถบคาบสมุทรไครเมียร์ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศยูเครนในปัจจุบัน และเป็นช่วงที่อยู่ในเขตอิทธิพลของมองโกลที่กำลังแผ่อำนาจจากเอเชียกลางมา ยังทวีปยุโีรป ในปี 1260 ได้เกิดสงครามระหว่างหลานของเจงกีสข่าน ทำให้พ่อและอาของมาร์โค โปโลต้องเดินทางหลบสงครามไปที่เมืองบูคารา ประเทศอุซเบกิซสถาน ณ ที่นั้น พ่อและอาของมาร์โค โปโลได้พบกับฑูตของกุบไลข่าน ซึ่งได้ชักชวนบุคคลทั้งสองเดินทางไปเข้าพบกุบไลข่าน เพราะกุบไลข่านเป็นผู้ที่สนใจเรื่องราวความเชื่อของชาวยุโรปมาก จึงขอให้นิโคโล โปโลและน้องชายเดินทางกลับบ้านเกิด เพื่อเข้าพบพระสันตปาปา และขอให่้ส่งผู้มีความรู้ 100 คน และน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ในนครเยรูซาเลมกลับมาถวายพระองค์ เมื่อทั้งสองเดินทางกลับถึงบ้านเกิดที่เมืองเวนิสในปี 1269 มาร์โค โปโลมีอายุได้ 15 ปี แต่มารดาของมาร์โค โปโลได้สิ้นพระชนม์ไปแล้ว ในปี 1271 เมื่อมาร์โค โปโล อายุ 17 ปี ได้ขอเดินทางติดตามบิดาและอากลับไปประเทศจีน พร้อมกับพระราชสาส์นจากพระสันตปาปาเกร็กกอรี่ ที่ 10 น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ พร้อมด้วยพระ 2 รูป
     
          ครอบครัวโปโลทั้ง 3 คนออกเดินทางจากนครเยรูซาเลมในปี 1272 ใช้เวลาเดินทางนานถึง 3 ปีครึ่งจึงเดินทางถึงเมืองชางตู การเดินทางบกในครั้งนี้ครอบครัวโปโลได้เดินทางผ่านดินแดนต่างๆ มากมาย เช่น อนาโตเลีย คอเคซัส ตะวันออกกลาง และเอเชียกลาง ผ่านที่ราบสูงพาเมียร์ ซึ่งมีความสูง 5,000 เมตร และเดินทางข้ามทะเลทรายโกบี จนในที่สุดครอบครัวโปโลก็เดินทางถึงประเทศจีน ซึ่งมาร์โค โปโล เรียกว่า "คาเธย์" รวมระยะทางข้ามทวีปกว่า 5,600 ไมล์

    ในปี 1275 มาร์โค โปโลได้เข้าเฝ้ากุบไลข่าน กุบไลข่านทรงเอ็นดูมาร์โค โปโลเป็นพิเศษ ซึ่งขณะนั้นมาร์โค โปโล มีอายุ 21 ปี ทำให้มาร์โค โปโล ได้มีโอกาสเข้าทำงานรับใช้กุบไลข่านนานถึง 17 ปี ครอบครัวโปโลก็เริ่มวิตกกังวลถึงอนาคตของพวกตน เนื่องจากกุบไลข่านทรงชราภาพมากขึ้นแล้ว จึงเข้ากราบทูลกุบไลข่านขออนุญาติกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด แต่กุบไลข่านไม่ยอม จนในปี 1292 พระชายาของอาร์กุนข่านได้สิ้นพระชนม์ อาร์กุนข่านจึงได้ส่งฑูตมาขอให้กุบไลข่านส่งเจ้าหญิงแห่งมองโกลไปเป็นพระ ชายาองค์ใหม่ ครอบครัวโปโลจึงขออาสาพาเจ้าหญิงโคคาชิน ไปถวายแก่อาร์กุนข่าน กุบไลข่านจึงจำใจต้องอนุญาติ


     การเดินทางในครั้งนี้ได้ใช้เส้นทางเรือ เดินทางผ่านเกาะญี่ปุ่น อาณาจักรจามปา เำกาะสุมาตรา เกาะนิโคบาร์ เกาะลังกา เข้าสู่อ่าวเปอร์เซีย การเดินทางในครั้่งนี้ใช้เวลาเดินทางนานถึง 2 ปี ผู้โดยสารกว่า 600 คนเหลือชีวิตรอดเพียง 18 คน เนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ พายุ และการปล้นของโจรสลัด เมื่อเดินทางถึงก็ได้ทราบว่าอาร์กุนข่านสิ้นพระชนม์แล้ว เจ้าหญิงโคคาชินจึงได้สมรสกับโอรสของอาร์กุนข่านแทน ในปี 1294 เมื่อกุบไลข่านสิ้นพระชนม์ อาณาจักรมองโกลเริ่มเสื่อมอำนาจลงอย่างรวดเร็ว และในปี 1368 มองโกลก็ได้ถูกขับออกจากประเทศจีน


    ใน ปี 1295 จากการเดินทางรอนแรมทั้งทางบกและทางทะเลเป็นระยะเวลาเกือบ 3 ปี ครอบครัวโปโลก็เดินทางถึงบ้านเกิดเมืองเวนิส ในขณะนั้นมาร์โค โปโล มีอายุได้ 41 ปี หลังจากกลับถึงบ้านได้ไม่นาน มาร์โค โปโล ก็ได้ถูกเกณฑ์ให้เข้าร่วมในสงครามระหว่างเมืองเวนิสและเมืองเจนัว จนทำให้มาร์โค โปโล ถูกจับเป็นเชลยศึกในคุกของเมืองเจนัวเป็นเวลาประมาณ 1 ปี ณ ที่นี้เอง มาร์โค โปโล ได้พบกับนักเขียนชาวเมืองปิซา ชื่อ Rustichello มาร์โค โปโล ได้เล่าเรื่องราวการเดินทาง และการใช้ชีวิตในประเทศจีนให้ฟัง และได้บันทึกเป็นหนังสือชื่อ "คำอธิบายเกี่ยวกับโลก" หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า "การเดินทางของมาร์โค โปโล"  ในราวปี 1299 มาร์โค โปโลได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นนักโทษ และมาร์โค โปโลได้ถึงแก่กรรมในปี 1324 สิริรวมอายุได้ 70 ปี


      นอก จากนี้มาร์โค โปโลนักเดินทางชาวอิตาลี ได้เป็นชาวยุโรปคนแรกที่เดินทางผ่านเส้นทางสายไหมทางทะเลไปถึงประเทศจีน และในตอนกลับประเทศเขาก็ได้ลงเรือที่เมืองเฉวียนโจวของมณฑลฮกเกี้ยนของ จีนกลับถึงเวนิสซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา เส้นทางสายไหมทางทะเลได้เชื่อมจีนกับประเทศอารยธรรมที่สำคัญและแหล่งกำเนิด วัฒนธรรมของโลก ได้ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในเขตเหล่านี้ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น "เส้นทางแลกเปลี่ยนระหว่างตะวันออกกับตะวันตก"


    คำว่า "เส้นทางสายไหม" หรือ "Silk Road" เพิ่งถูกเรียกอย่างเป็นทางการในกลางศตวรรษที่ 19 โดยนักปราชญ์ชาวเยอรมันชื่อว่า Baron Ferdinand von Richthofen เส้นทางนี้ เริ่มจากทางตะวันออกที่เมืองฉางอันหรือซีอันในปัจจุบันของประเทศจีน สุดที่ยุโรป ณ เมืองคอนสแตนติโนเปิล 


อ้างอิง :
http://www.midnightuniv.org/midnightuniv/AAA1.htm
http://pinkmaya.mysquare.in.th